สารสกัดแคนนาบิไดออลจากกัญชง

Cannabidiol หรือ CBD เป็นสารสกัดชนิดหนึ่งพบได้ในพืชกัญชงโดยเฉพาะช่อดอก ซึ่งไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทเหมือน THC ซึ่งยังจัดอยู่ในสารเสพติดที่พบมากในกัญชาเพราะ มีออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาท

CBD มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ ได้แก่ ลดอาการวิตกกังวล ช่วยให้หลับได้ดีขึ้น ระงับอาการคลื่นไส้อาเจียน ควบคุมอาการชัก บรรเทาการเกร็งของกล้ามเนื้อ  และลดการอักเสบ

ในส่วนของการใช้ CBD ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับข้อและกระดูก พบว่า  CBD มีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องกับการลดการสังเคราะห์สารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบที่พบในโรคข้อและกระดูก (Rheumatoid Arthritis) ในระบบภูมิคุ้มกัน และ  CBD เองมีฤทธิ์ส่งเสริมการทำงานของระบบ ทางสรีรวิทยาที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานทั้งหมดในร่างกาย  รวมถึงระบบประสาทในส่วนการรับรู้ความปวด จึงช่วยให้การปวดอักเสบในร่างกายลดลง ทำให้ในต่างประเทศสาร CBD  ได้นิยมถูกนำไปพัฒนาคู่ควบกับการใช้ในการรักษาอาการเจ็บปวดของข้อและกระดูก แทนการใช้ยากลุ่ม non-steroidal anti-inflammatories (NSIADS) ที่มีผลเสียต่อสุขภาพหากใช้เป็นระยะเวลานานและไม่เหมาะสมโดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุที่มีข้อจำกัดในการใช้ยาประเภทดังกล่าว CBD จึงเป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

น้ำมันคริลล์ (Krill Oil)

เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากสัตว์ขนาดเล็กที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายกุ้ง มีชื่อเรียกว่า คริลล์ (Krill) สัตว์ชนิดนี้ เติบโตในแหล่งธรรมชาติ อาศัยในน้ำลึก เขตน้ำเย็นบริเวณขั้วโลกใต้สภาวะที่มีการปนเปื้อนน้อย และยังเป็นสิ่งมีชีวิตแรกของห่วงโซ่อาหาร ในแหล่งระบบนิเวศที่ที่ปราศจากสารปนเปื้อนและโลหะหนัก อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ชนิด DHA และ EPA ปริมาณสูงในรูปแบบ Phospholipid ซึ่งดูดซึมได้ดีกว่าโอเมก้า 3 ในรูปแบบ Triglyceride จาก Fish Oil และยังประกอบด้วย Astaxanthin สารสีส้มแดง ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมีคุณสมบัติลดการอักเสบปกป้องการทำลายเซลล์จากภาวะการอักเสบ ลดอาการเจ็บปวด ลดอาการข้อฝืดตึงของเนื้อเยื่อกระดูกและไขข้อได้อย่างดี นอกจากน้ำมันคริลล์นี้ยังมีส่วนช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ HDL LDL triglyceride, ป้องกันหลอดเลือดอุดตันจากไขมันได้อีกด้วย แต่ควรระวังในผู้ที่แพ้อาหารทะเลจำพวกสัตว์มีเปลือก (กุ้ง, ปู) เพราะน้ำมันคริลล์ประกอบด้วย tropomyosin ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้หลักในสัตว์มีเปลือก

น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ (Flax Seed Oil)

ได้จากการสกัดจากต้นลินินหรือต้นปอป่าน น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย และร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ได้แก่

1. กรดแอลฟ่า-ไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid หรือ ALA) จัดอยู่ในกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 มีประโยชน์อย่างมากต่อระบบการไหลเวียนของเลือด และจากการศึกษากับผู้ป่วยไขข้ออักเสบ (Rheumatoid Arthritis) พบว่าสามารถลดอาการปวดอักเสบของโรคข้อต่างๆ เช่น ข้อเสื่อม และรูมาตอยด์ และโรคเก๊าท์ได้

2. กรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid หรือ LA) เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่มโอเมก้า 6 ช่วยลดอาการอักเสบ

3. กรดโอเลอิก (Oleic Acid) เป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 9 ทำหน้าที่ช่วยเสริมการทำงานของโอเมก้า3 และโอเมก้า 6 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากกรดไขมันดังกล่าวแล้ว น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ยังมีสารประกอบลิกแนน สารพฤกษเคมีที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เป็นไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogens) ซึ่งมีมากกว่าพืชชนิดอื่นถึง 75 เท่า มีการออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

น้ำมันอะโวคาโด (Avocado Oil)

อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีกรดไขมันโอเมก้า 9 (Oleic acid) และกรดไขมันโอเมก้า 6 (Linoleic Acid) ในปริมาณสูง การรับประทานน้ำมันอะโวคาโด จะส่งผลต่อสุขภาพช่วยให้ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดไขมัน LDL และเพิ่มไขมัน HDL ในเลือดได้ดี นอกจากนั้น จากการศึกษาพบว่าน้ำมันอะโวคาโดยังถูกใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารเสริมประเภทที่เน้นการลดอาการปวดของข้อเข่าเสื่อมด้วยเช่นกัน

น้ำมันเมล็ดงาขี้ม้อนธรรมชาติ (Natural Perilla Oil)

น้ำมันงาขี้ม้อนถูกใช้เป็นยาแผนโบราณโดยใช้กลิ่นหอมในการบำบัดความเครียดร่วมกับสมุนไพรท้องถิ่นตะวันออก ชาวเอเชียใช้บริโภคมาตั้งแต่โบราณ งาขี้ม้อนยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิดโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมัน ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยส่งเสริมในเรื่องความจำและป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือดได้ ลดความเสี่ยงการอุดตันของเลือด และในน้ำมันงาขี้ม้อนเอง ยังมีวิตามิน E ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ป้องกันหลอดเลือดแดงหัวใจแข็งตัวและเสริมภูมิคุ้มกัน งาขี้ม้อน ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุจากธรรมชาติ เพื่อใช้ซ่อมแซมกระดูกและฟัน อีกด้วย

สารสกัดจากขมิ้น (Turmeric Extract)

ขมิ้นมีสรรพคุณทางยาที่รักษาอาการและโรคต่างๆ ตาราแพทย์แผนไทยใช้เหง้าทายาบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีสารสำคัญคือ เคอร์คูมินอย (Curcuminoids) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยจากการศึกษาในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์พบว่าเคอร์คูมินอย สามารถช่วยลดการอักเสบหลังผ่าตัดและอาการดีขึ้นได้

น้ำมันทานตะวัน (Refined Sunflower Oil)

มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดที่จำเป็น (essential fatty acid) ในกลุ่มโอเมก้า-6 ปริมาณสูง และยังเป็นแหล่งของวิตามินอี (vitamin E) หรือโทโคฟีรอล โดยเฉพาะแอลฟ่า-โทโคฟีรอลที่ดี มีสรรพคุณช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล ไขมัน LDL ความดันโลหิต และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองได้

น้ำมันซีบัคธอร์น (Sea Buckthorn Oil)

ได้ชื่อว่าเป็นราชาผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร โดยเฉพาะวิตามินซี ซึ่งสูงกว่าวิตามินซีในผลส้มถึง 15 เท่า จึงมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย รวมถึงมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน

วิตามิน ดี3 (Vitamin D3)

วิตามินที่วงการแพทย์และอย.ยอมรับว่าเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีความสำคัญต่อการแบ่งตัวของเซลล์ให้เป็นไปอย่างปกติ ช่วยบำรุงสุขภาพกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีส่วนช่วยในการดูดซึมและใช้ประโยชน์ของแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีบทบาทต่อการทำงานของทั้งระบบภูมิคุ้มกัน และกล้ามเนื้อ และยังมีงานวิจัยพบว่าวิตามินดี 3 มีส่วนช่วยให้เพิ่มศักยภาพให้ร่างกาย นำการออกซิเจนจากเลือดส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ ได้ดีขึ้นขณะออกกำลังกาย ช่วยลดอาการเมื่อยล้าและอักเสบของกล้ามเนื้อ และช่วยเพิ่มความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อ สามารถรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น